ตำนานคาราบาว
วงดนตรี “คาราบาว” เริ่มต้นที่ประเทศฟิลิปปินส์ โดยนักศึกษาที่ชื่อ ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด) กับ กิรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร (เขียว) ได้รู้จักกันระหว่างที่ได้ไปศึกษาระดับปริญญาที่มหาวิทยาลัยมาปัวฯ ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งบุคคลทั้งสองร่วมกันก่อตั้งวงดนตรีชื่อ “คาราบาว” ขึ้นมา คำว่า คาราบาว แปลว่า ควาย เป็นภาษาตากาล๊อก ใช้เรียกควายพื้นเมืองของฟิลิปปินส์ ควายเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการต่อสู้ แสดงถึงการทำงานหนัก แสดงถึงความอดทน อีกทั้งควายยังเป็นตัวแทนผู้ใช้แรงงาน และถือได้ว่าผู้ใช้แรงงานเป็นผู้ที่สร้างโลก ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ยืนยง โอภากุล จึงได้ใช้คำว่า “คาราบาว” พร้อมกับ “หัวควายมาเป็นสัญลักษณ์ของวงคาราบาว ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา
หลังจากสำเร็จการศึกษา กิรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร ได้ทำงานเป็นพนักงานฝ่ายประเมินราคาเครื่องจักรในบริษัทฟิลิปปินส์ ยาวนานถึง 6 ปี ส่วนยืนยง โอภากุล ก็ได้เดินทางกลับมาประเทศไทย เพื่อเริ่มงานเป็นสถาปนิกที่การเคหะแห่งชาติ พร้อมกับตระเวนเล่นดนตรีในเวลากลางคืนไปด้วย
เมื่อทุกอย่างลงตัว นายยืนยง โอภากุล ก็ได้ลาออกจากงานประจำ มาเอาดีทางด้านดนตรีอย่างเดียว พร้อมชักชวนให้เพื่อนสนิท กิรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร ที่กำลังทำงานในบริษัทฟิลิปส์ที่ตั้งอยู่สาขาในประเทศไทย ลาออกมาด้วยเช่นกัน เพื่อทำงานด้านดนตรี มาสร้างวงคาราบาว อย่างเต็มตัว
ตำนานบ้านบางระจัน
เรื่องราว ของชาวบ้าน ๑๑ คน ที่ กลับกลาย
เป็นตำนาน ด้วยต่าง หยิบดาบ สู้กับพม่า ด้วยหัวใจ กล้าต่อกร กับ ทัพพม่า ที่มี
ไพรพล มหาศาล...ในเวลานั้น พม่าแบ่ง กำลังออก เป็น ๒ เส้นทาง มังมหานรธา ตีจาก
ทิศตะวันตก เน เมียวสีหบดี ตีไล่จาก ทางเหนือ หวังขนาบ กรุงศรี อยุธยา ครานั้น
ทัพของ เนเมียว ต้องล่าช้า ไปเนื่องจาก ติดพัน การ ต่อสู้ กับกลุ่ม ชาวบ้านที่
รวมตัว กันในนาม "บางระจัน"
เนเมียวสีหบดี แค้นหนัก ที่กองทัพ ของตน
พ่ายแพ้ ถึง ๓ ครั้ง จึงเพิ่ม กำลังหนัก เข้าชาว บางระจัน รบกัน อย่าง ถวายหัว
แต่คราวนั้น พ่อแท่น หัวหน้า ของชาวบ้าน ถูกยิงได้รับ บาดเจ็บ ทุกคน จึงต้องหา
ผู้นำคนใหม่ ขณะนั้น ข่าวการ ชนะพม่า ของบางระจัน กระจายไปทั่ว ชาวบ้าน มากมาย
พากัน มารวม ตัวสู้ บางระจัน ได้ผู้ มีฝีมือ อีกสองคน มาช่วย คือ นายดอก ครูมวย
จากวิเศษไชยชาญ แลนาย ทองแก้ว ครูดาบ บ้านโพธิ์ ทะเล
ชื่อกลุ่มโจร ของนายจัน หนวดเขี้ยว เป็นที่
กล่าวขาน ในเวลานั้น บางระจัน จึงส่ง นายอิน มือแม่นธนู นายเมือง คนหนุ่ม ใจกล้า
แลพวก เสี่ยงภัย ออกจากค่าย ไปตาม นายจัน ยอมมา ช่วยบางระจัน ทันที เมื่อรู้ว่า
พระอาจารย ธรรมโชติ ย้ายจาก เขานางบวช บ้านเกิด ของตน ที่วอดวาย ไปแล้ว มาจำวัด
ที่บางระจัน นายจัน หนวดเขี้ยว เป็น นักรบ ประเภท ยอมหัก ไม่ยอมงอ ด้วยครั้งหนึ่ง
ตนเคยเสียชีวิต ลูกเมีย ให้กับพม่า
เมื่อได้เป็นผู้ นำคนใหม่ จึงเปลี่ยนแปลง
บางระจัน ให้ทุกคน มีวินัย และ ไม่ทำอะไร ตามใจ ตัวเอง ทำให้ นายจัน ไม่เป็น
ที่ถูกใจ ของนาย ทองเหม็น ขี้เมาพเนจร ที่ชอบ ขี่ควาย แอบออก จากค่าย ไปตีพม่า
อยู่บ่อยครั้ง ไม่มีใครรู้ สาเหตุว่า นายทองเหม็น ทำอย่างนั้น เพื่ออะไร
เมื่อหยุดจาก การรบ ชาวบ้าน ก็เป็นเพียง ชาวบ้าน ความรัก ของนายเมือง และ
อีแตงอ่อน ลูกสาว พ่อแท่น กำลัง ก่อตัวขึ้น อย่างงดงาม พ่อแง่แม่งอน ตามประสา
เช่นเดียวกับ นายอิน กับ อีสา เมียรัก ที่เพิ่ง อยู่กินกัน ความกดดัน จากสงคราม
ทำให้อีสา ไม่บอกให้ นายอินว่า ตนกำลังท้อง ด้วยกลัวผัว จะเป็นกังวล
นายเมือง นายอิน ต้องเสี่ยงภัย กันอีกครั้ง
เมื่อต้อง เดินทางไป กรุงศรีอยุธยา เพื่อขอ ปืนใหญ่ แต่เมื่อ ไปถึงกลับ ได้รับการ
ปฏิเสธ กลับมา เมื่อนายอิน กลับมา แล้วมารู้ ทีหลังว่า เมียกำลังท้อง แล้วนายปลั่ง
เพื่อนรัก ที่ ร่วมรบ กันมา จนบาดเจ็บ พิษไข้ ขึ้นถึงกลับ วิกลจริต ไป ซ้ำมารู้ว่า
ตนกำลัง จะมีลูก นึกแค้น พม่าหนัก นัดพา พวกล่องเรือ ไปตีพม่า ถึงในค่าย
โดยไม่รู้ว่า พม่าเอง ก็แอบส่ง กำลัง มาตีบางระจัน เช่นกัน ครั้งนั้น ด้วยใจร้อน
นายอิน พาคน ไปตาย มากมาย ซ้ำกลับ มา ค่ายบางระจัน ก็ถูกตี จนยับเยิน คนตาย มากมาย
ชาวบ้าน ก็พากัน อพยพ หนีไป นายจัน ท้อใจ จะ กลับไป เป็น กองโจร เหมือนเดิม หากแต่
ได้กำลังใจ อย่าง ไม่คาดคิด จากนาย ทองเหม็น ขี้เมา ที่เป็น อริกัน มาตลอด
และรู้ว่า แท้จริงแล้ว นายทองเหม็น เองก็มีอดีต ที่เจ็บปวด ไม่น้อย ไปกว่าตน
ยามนั้น พม่าได้แต่งตั้ง นายกอง คนใหม่ นามว่า
สุกี้ เข้าตี บางระจัน ทัพสุกี้ ครั้งนี้มี กองปืนใหญ่ มาด้วย บางระจัน เอาปืนใหญ่
เข้าสู้ทั้งที่ร้าว อย่างไม่มี ทางเลือก ทุกคน รู้ชะตากรรม ว่า นี่คงเป็น
ครั้งสุดท้าย ของบ้าน บางระจัน แล้ว
ตำนานสะพานสารสิน
สะพานสารสิน
เป็นสะพานที่สร้างข้ามช่องปากพระเพื่อเชื่อมระหว่างเกาะภูเก็ตตรงบริเวณท่าฉัตรไชยกับท่านุ่น
จังหวัดพังงา มีความยาวทั้งหมด 660 เมตร
กรมทางหลวงเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้าง เปิดใช้เมื่อ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2510 สิ้นงบประมาณ
28,770,000 บาท สะพานนี้ให้ชื่อตามนามสกุลของ นายพจน์ สารสิน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติในขณะนั้น ปัจจุบันนี้
สะพานสารสินได้กำหนดให้ใช้เป็นสะพานขาออกจากจังหวัดภูเก็ต
ตำนานรักสะพานสารสิน เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในจังหวัดภูเก็ต โศกนาฏกรรมของหนุ่มสาว
2
คนที่ตัดสินปัญหาด้วยการใช้ผ้าขาวม้าผูกต่อกันมัดตัวเองกระโดดจากกลางสะพานลงสู่พื้นน้ำในวันที่
22 กุมภาพันธ์ 2516
เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มหญิงสาวที่แตกต่างกัน
ด้วยชาติตระกูลและฐานะทางสังคม
ฝ่ายหญิงชื่อ "อิ๋ว" เป็นนักศึกษาวิทยาลัยครู ส่วนฝ่ายชายชื่อ
"โกไข่" เป็นเพียงคนขับรถสองแถวและรับจ้างกรีดยาง
พ่อเลี้ยงอิ๋วแบบเผด็จการไม่ให้อิสระ และต้องการให้แต่งงานกับคนมีฐานะ จึงถูกขัดขวางความรักอย่างหนัก
ทั้งสองคนพยายามต่อสู้ฝ่าฟันกับอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้รักของเธอและเขาสมหวัง
ความรักที่เหมือนนิยายน้ำเน่าของหนุ่มขับรถสองแถวและรับจ้างกรีดยาง
ที่มีฐานะยากจนมาก
แต่กลับไปหลงรักกับหญิงสาวที่มีฐานะสูงส่งและมีพื้นฐานครอบครัวที่เผด็จการ
ไม่ให้อิสระทางความคิดกับลูกสาว แม้ว่าลูกสาวโตจนมีอาชีพเป็นครูแล้วก็ยังถูกกีดขวางจากผู้เป็นพ่อ
ที่พยายามจะคลุมถุงชนลูกสาวให้แต่งงานกับชายหนุ่มที่มีฐานะดี
และพยายามขัดขวางทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ลูกสาวได้คบกับโกไข่ หนุ่มขับรถสองแถว
หลังจากที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะพิสูจน์ให้ผู้เป็นพ่อได้เห็นถึงความตั้งใจและความรักที่ทั้ง
2 มีให้แก่กัน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่เป็นผล
เมื่อผู้เป็นพ่อของฝ่ายหญิงไม่ยอมเปิดใจรับ หลายครั้งที่อิ๋วฝ่ายหญิง
ถูกผู้เป็นพ่อทุบตีเยี่ยงสัตว์เพราะแอบมาพบเจอกับโกไข่ หนุ่มขับรถสองแถว
และผู้เป็นพ่อก็พยายามทุกวิถีทางที่จะยัดเยียดลูกสาวให้กับเศรษฐีมีเงิน
ชาวบ้านท่าฉัตรไชย จังหวัดภูเก็ต
ต่างก็ทราบดีถึงความรักที่มีอุปสรรคของหนุ่มสาวทั้งสอง
หลายคนพยายามแนะนำให้โกไข่เลิกกับครูอิ๋ว เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของทั้งคู่
และผู้ใหญ่หลายคนพยายามพูดคุยกับพ่อของครูอิ๋ว เพื่อที่จะให้ยอมรับโกไข่
เป็นลูกเขย แต่ไม่ได้รับการยินยอม ไม่ว่าจะทำด้วยวิถีทางใด
ในที่สุดเมื่อความรักถึงทางตัน 22 กุมภาพันธ์ 2516 โกไข่
นายหัวรถสองแถวและครูอิ๋ว สาวผู้สูงศักดิ์
ก็ได้ตัดสินใจเอาผ้าขาวม้าผูกมัดตัวทั้งสองติดกัน แล้วกระโดดจากกลางสะพานลงสู่พื้นน้ำ
ทิ้งเรื่องราวความรักที่เป็นอมตะ ให้ผู้คนได้กล่าวขานถึงปัจจุบันนี้